ท่านได้ตรัสว่า ในศตวรรษที่ 20
มีผู้คนต้องประสบกับความทุกข์ยากมากขึ้นเนื่องมาจากความรุนแรงยิ่งกว่าที่
เคยเป็นมาก่อน แต่ท่านยืนยันว่า
ความรุนแรงเป็นสิ่งที่ทวนกระแสธรรมชาติของมนุษย์. คุณจะเชื่อได้อย่างไร
ในเมื่อพยานหลักฐานต่างๆดูเหมือนว่าจะเป็นไปในลักษณะที่ตรงกันข้าม ?
ในระดับเบื้องต้นหรือพื้นฐานของชีวิตธรรมชาติของมนุษย์
ต้องขึ้นอยู่กับความรัก. ความก้าวร้าวเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์
แต่ไม่ใช่ส่วนที่มีอิทธิพลแต่อย่างใด.
สิทธิที่มีมาตั้งแต่เกิดของชีวิตทารกทั้งหลาย
คือความรู้สึกทราบซึ้งในความรักของคนอื่น
และขานรับต่อความรู้สึกอ่อนโยนอันนั้น
แม้ว่าความเฉลียวฉลาดจะไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมา,
ทารกน้อยๆก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้โดยไม่ต้องมีสติปัญญา
แต่หากว่าปราศจากความรักทารกจะไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้.
ตามความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อมารดาตั้งครรภ์ขึ้น
ทารกจะเจริญเติบโตในครรภ์ของมารดา, ความรู้สึกสงบ สันติในใจของผู้เป็นแม่
ความรัก
และความเมตตาของเธอเป็นเงื่อนไขที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์.
ความโกรธและความเกลียด จะสร้างความปั่นป่วนในจิตใจของผู้เป็นแม่
และมันเป็นเรื่องที่เลวร้ายสำหรับทารกที่อยู่ในครรภ์ด้วย.
ในทำนองเดียวกัน
ช่วงระหว่างไม่กี่สัปดาห์แรกหลังการถือกำเนิดขึ้นมาของทารก
การสัมผัสทางกายด้วยความรักกับทารกเป็นเงื่อนไขที่สำคัญมากสำหรับพัฒนาการ
อันเหมาะสมต่อสมองของทารก. ในเรื่องเกี่ยวกับส่วนสูงของร่างกาย
ก็ต้องการความรักของมนุษย์. อารมณ์ความรู้สึกต่างๆทางด้านบวกของมนุษย์
อย่างเช่น ความรัก, ความเมตากรุณา
ไปด้วยกันอย่างดีกับพัฒนาการทางกายภาพของเรา.
แต่จิตใจที่ปั่นป่วนร้อนรนจะไม่ไปด้วยกันกับการดำรงอยู่ที่ดี.
ทารกเกือบจะเหมือนกันกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ – ไม่มีสติปัญญา,
ไม่มีอุดมคติ, ไม่มีศรัทธาในศาสนา,
ไม่มีสิ่งใดเลยเว้นแต่ความรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของผู้เป็นมารดา
และสามารถที่จะขานรับต่อสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัยและเป็นไปได้ด้วย
ดี.
ทุกคนทราบว่า
ทารกหรือเด็กๆซึ่งได้รับความรักจากพ่อแม่จะมีจิตใจและสติปัญญาที่แข็งแรง
สมบูรณ์. อันนี้ย่อมส่งผลให้การศึกษาของพวกเขาดีขึ้นมาก.
เมื่อเด็กคนนั้นโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ก็จะมีความรู้สึกไวและอ่อนไหวต่อความเจ็บปวดหรือความทุกข์ยากของคนอื่น
และพบว่ามันง่ายมากที่จะพัฒนาไปสู่ความรู้สึกอันหนึ่งของการเป็นห่วงเป็นใย
คนอื่น.
สิ่งดีๆที่เป็นเรื่องทางบวกมาจากความรักความเมตตา
จากความรู้สึกอันหนึ่งของการเอาใจใส่และความรัก.
คุณจะเป็นคนที่มีสุขภาพอนามัยที่ดีและมีจิตใจที่เป็นสุข.
อันนี้เนื่องมาจากครอบครัวที่มีความสุขและชุมชนที่มีความสุข.
เด็กที่ขาดเสียซึ่งความรัก จะเป็นเด็กที่ขี้อายและจิตใจไม่เป็นสุข.
พัฒนาการทางร่างกายของพวกเขาก็จะได้รับผลกระทบด้วย. เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่
พวกเขาจะพบว่ามันยากมากที่จะแสดงออกซึ่งความรักให้กับคนอื่นๆ. ในท้ายที่สุด
อันนี้สามารถจะมีอิทธิพลส่งไปถึงสังคมโดยรวมได้.
พื้นฐานธรรมชาติของมนุษย์มีความเชื่อมโยงกันบางอย่างกับความเป็นสัตว์สังคม
ซึ่งต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม, คล้ายๆกับผึ้ง.
การดำรงชีวิตอยู่ประเภทนี้เรียกร้องต้องการความรู้สึกอันหนึ่งของชุมชน
ความรู้สึกรับผิดชอบ ความรู้สึกที่จะทำงานร่วมกัน
และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน. อันนี้เป็นธรรมชาติ.
ความก้าวร้าวก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมนุษย์ด้วย
แต่มันไม่ใช่ส่วนที่มีอิทธิพลสำคัญแต่อย่างใด. อหิงสา
หรือการไม่ใช้ความรุนแรงได้รับการกล่าวว่าเป็นความรู้สึกของความเมตตา
และความรู้สึกของการเป็นห่วงเป็นใย.
ความเมตตาไม่ใช่ความรู้สึกอันหนึ่งของความสงสาร.
ความเมตตาเป็นความรู้สึกที่แท้จริงอันหนึ่งของความรับผิดชอบและเคารพต่อสรรพ
ชีวิต. ด้วยเหตุนี้
อารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับความรักและความเมตตาเอาใจใส่จึงเป็นรากฐานเกี่ยว
กับการอยู่รอดของมนุษย์. ด้วยเหตุดังนั้น
อหิงสาหรือการไม่ใช้ความรุนแรงจึงไปด้วยกันอย่างดีกับธรรมชาติพื้นฐานของ
มนุษย์.
ในความสัมพันธ์ทางสังคมของเรา เรื่องของความรุนแรงมีผลทางด้านลบ.
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าเราพัฒนาความไม่ลงรอยกันขึ้นมา
ถ้าข้าพเจ้าใช้กำปั้นต่อยคุณหรือคุณใช้กำปั้นทุบข้าพเจ้า
การกระทำเช่นนี้จะมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชนะและอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นผู้แพ้.
แต่คุณมีเพื่อนของคุณและญาติๆของคุณ. คนเหล่านี้พร้อมที่จะแก้แค้นให้.
มาถึงตรงนี้ เนื่องจากการกระทำของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าต้องเตรียมตัวที่จะเผชิญหน้ากับคนอีกสิบคน. ด้วยเหตุดังนั้น
ในระดับของการปฏิบัติ ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรง
ในช่วงเวลาสั้นๆคุณอาจได้รับชัยชนะคนอื่นๆ
แต่ในระยะยาวมันจะมีผลในทางลบตามมา.
มองไปที่ประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดูซิ
หลังจากที่ทหารเยอรมันต้องพ่ายแพ้สงคราม พวกเขาก็ได้พักรบ.
แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว
เมล็ดพันธุ์ดังกล่าวของสงครามโลกครั้งที่สองได้รับการบ่มเพาะขึ้นมา.
ภายในดวงจิตของประชาชนชาวเยอรมันมัน เป็นความรู้สึกที่ว่า
“เราเป็นผู้พ่ายแพ้ และเราจะต้องไม่ลืมความพ่ายแพ้อันนี้.
โลกในทุกวันนี้เป็นโลกที่มีความเชื่อมโยงกันและกันและเป็นโลกที่ต้องพึ่ง
พาอาศัยกัน. ไม่เพียงแต่ประเทศหนึ่งต้องพึ่งพาอาศัยประเทศอื่นๆเท่านั้น
แต่ทวีปต่างๆก็ต้องพึ่งพาอาศัยทวีปอื่นๆด้วย. ปัญหาใหม่ๆ
อย่างเช่นปัญหาทางนิเวศวิทยาเป็นปัญหาทั้งโลก.
ทั้งนี้เพราะเราต่างพึ่งพาอาศัยกันและกันอย่างมาก แนวความคิดเกี่ยวกับฉัน,
เรา, ของเรา, และของคุณ, พวกเขา, ของพวกเขา,
ไม่มีหรือไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไปแล้ว.
การทำลายเพื่อนบ้านของคุณก็คือการทำลายตัวคุณเองด้วย.
ปัจจุบันนี้โลกทั้งโลกมันเป็นเหมือนกับเรือนร่างเดียวกัน.
ความคิดเกี่ยวกับสงคราม มันเกิดขึ้นมาจากแนวความคิดที่ว่า
มันยังคงมีเส้นที่ชัดเจนเส้นหนึ่งที่แบ่งแยกระหว่าง”พวกเขา”และ”พวกเรา”.
ฝ่ายหนึ่งชนะ, ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้.
แต่โลกซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันนั้น เรื่องเช่นนี้มันเป็นไปไม่ได้.
ทุกวันนี้ ผลประโยชน์ของพวกเขาก็คือผลประโยชน์ของพวกคุณ. ด้วยเหตุนี้
คุณจึงไม่สามารถที่จะมองข้ามหรือไม่เอาใจใส่ผลประโยชน์ของคนอื่นๆได้.
คุณจะต้องรักษาผลประโยชน์ของคนอื่นเอาไว้ในใจ
ขณะที่คุณพยายามที่จะแก้ปัญหาของคุณเอง. ในข้อเท็จจริง
โดยปราศจากความร่วมมือของคนอื่น คุณจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้.
ภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น จะไม่มีที่ว่างสำหรับความรุนแรง.
ในระดับปรัชญาและในระดับปฏิบัติการ ทั้งสองระดับนี้
การไม่ใช้ความรุนแรงหรืออหิงสาเป็นเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น.
ความรุนแรงไม่มีคุณค่ายืนยงยาวนานอีกต่อไปแล้ว.
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้
การสนทนากับฝ่ายตรงข้ามหรือปรปักษ์เป็นวิธีการที่เป็นจริงมากที่สุด
และเป็นหนทางซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้า.
ถ้าหากว่าการสนทนาหรือการพูดคุยกันเป็นทางเลือกของท่านต่อการมีสงคราม,
ท่านก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามันประสบความสำเร็จมากนัก.
อะไรคือสิ่งที่ธิเบตได้มาในความพยายามต่างๆของท่านในการเจรจากับจีน ?
ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยที่ว่า หลักอหิงสา
หรือการไม่ใช้ความรุนแรงของข้าพเจ้าไม่ประสบความสำเร็จที่เป็นจริงแต่อย่าง
ใด. ใช่ ด้านหนึ่ง
ความพยายามที่จะบรรลุถึงการแก้ปัญหาที่แท้จริงต่อการรุกรานของชาวจีนในธิเบต
โดยผ่านการพูดคุยกับรัฐบาลจีน จนกระทั่งปัจจุบันนี้มันยังล้มเหลวอยู่. แต่
ในอีกด้านหนึ่งนั้น เนื่องจากวิธีการอหิงสาของข้าพเจ้า
วิญญานแห่งการประนีประนอมของข้าพเจ้า และไม่ลืมเรื่องผลประโยชน์ของจีน
ได้มีการสนับสนุนอย่างมากมายจากชุมชนชาวจีน
จากบรรดานักวิชาการปัญญาชนของจีน และนักคิดต่างๆเป็นจำนวนมาก.
ชาวจีนเกือบทุกคนผู้ซึ่งรู้ถึงวิธีการของข้าพเจ้า
และรู้ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงของธิเบต
ต่างก็มีความเห็นสอดคล้องและสนับสนุนจุดยืนของข้าพเจ้า
ถ้าหากว่าธิเบตดำเนินรอยตามความรุนแรงมากกว่านี้
ชาวจีนในธิเบตก็จะบาดเจ็บล้มตายเป็นพวกแรก;
ชาวจีนเหล่านี้จะตกเป็นเหยื่อหรือเป้าหมายกลุ่มแรกเลยทีเดียว.
หากเป็นเช่นนั้น ญาติๆของเขา เพื่อนของเขา
สมาชิกในครอบครัวของเขาก็จะเจ็บปวดทุกข์ทรมาน.
ชาวธิเบตจะเล็งเป้าไปที่คนจีนทุกคน. ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น,
มันจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากสำหรับชาวจีนทุกๆคนที่จะให้การสนับสนุน
ข้าพเจ้า – แม้ว่าชาวจีนบางคนอาจทราบว่า ชาวธิเบต ที่จริงแล้ว
ต้องทุกข์ทรมานมากเพียงใด. ดังนั้น
ชาวจีนหรือพลเมืองจีนทุกคนก็จะต่อต้านข้าพเจ้า;
อันนี้จะเป็นสถานการณ์ซึ่งยุ่งยากมากสำหรับพวกเรา.
ด้วยเหตุนี้ โลกกว้างจึงหันมาให้การสนับสนุนประเด็นปัญหาของชาวธิเบต
เพราะพวกเราดำเนินรอยตามหลักการแห่งอหิงสาอย่างจริงใจ. ดังนั้น
วิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรงจึงได้รับการสนับสนุนเป็นจำนวนมากและบรรลุถึง
ผลลัพธ์ในทางบวก. พัฒนาการอันนี้ในระยะยาวแล้ว
จะส่งผลสะเทือนในทางบวกอย่างมาก.
ปัจจัยที่สำคัญมากอีกอันหนึ่ง: ไม่ว่าเราจะชื่นชอบหรือไม่ก็ตาม
เราจะต้องดำรงอยู่เคียงข้างกันกับชาวจีน ดังนั้น
เพื่อที่จะดำรงอยู่อย่างมีความสุข สันติและสงบ
และในจิตวิญญานของเพื่อนบ้านที่ดี ข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นว่า
ขณะที่เรากำลังดำเนินไปบนการต่อสู้เพื่ออิสรภาพอยู่นี้
เราจะต้องดำเนินรอยตามหนทางแห่งอหิงสธรรม.
ท่านไม่คิดหรือว่า
ความศรัทธาของท่านต่อการสนับสนุนในทางการเมืองจากชุมชนนานาชาติมันยังไม่
เกิดขึ้น
เนื่องจากผลประโยชน์ทางธุรกิจและเงินตรามักจะมาก่อนเรื่องของศีลธรรมเสมอ
ถ้าเช่นนั้นขอถามคุณว่า ถ้าหากว่าพวกเราใช้วิธีการที่รุนแรงต่างๆ
คุณแน่ใจไหมว่ารัฐบาลต่างๆเป็นจำนวนมากจะมาช่วยเรา ? ไม่เลย
ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น สถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก.
อันนี้ไม่ใช่เป็นคำถามเกี่ยวกับความรุนแรงหรือการไม่ใช้ความรุนแรง.
ธิเบตเป็นประเทศที่เล็กมาก ไม่มีน้ำมัน ไม่มีเงิน ไม่เหมือนกับประเทศคูเวต,
ซึ่งเป็นประเทศเล็กๆแต่มีน้ำมันเป็นจำนวนมาก. ด้วยเหตุนี้
กรณีของธิเบตจึงอ่อนแอมากต่อสายตาของโลกภายนอก.
ธิเบตไม่มีความดึงดูดใจทางด้านเศรษฐกิจ.
ธิเบตมีความร่ำรวยในเรื่องทรัพยากรทางธรรมชาติ
แต่อันนี้ต้องใช้เทคโนโลยีเป็นจำนวนมากและต้องใช้การลงทุนสูงมาก. ดังนั้น
มันจึงไม่มีผลประโยชน์ในธิเบตสำหรับโลกส่วนใหญ่.
ในทางตรงข้าม ประเทศจีนเป็นประเทศใหญ่ มันเป็นตลาดใหญ่
ทั้งทางด้านการเมืองและการทหาร จีนเป็นประเทศที่สำคัญมากประเทศหนึ่ง.
การชี้ขาดหรือตัดสินจากเงื่อนไขปัจจัยต่างๆเหล่านี้
ข้าพเจ้าคิดว่าการสนับสนุนที่เราได้รับในทุกวันนี้ ที่จริงแล้ว
เป็นเรื่องซึ่งน่าทึ่งมากเลยทีเดียว.
ในปี 1959, 60 และ 65
ประเด็นปัญหาของธิเบตได้รับการนำเข้าไปสู่องค์การสหประชาชาติ.
ในช่วงเวลานั้น ประเทศต่างๆมากมายให้การสนับสนุนต่อธิเบต
แต่การสนับสนุนอันนั้นมิได้เป็นไปอย่างแท้จริง.
ประเทศต่างๆทางตะวันตกกลุ่มหนึ่งมีนโยบายเกี่ยวกับการต่อต้านคอมมิวนิสม.
พวกเขาได้จัดการยักย้ายประเด็นปัญหาของชาวธิเบต
ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์ในการต่อต้านคอมมิวนิสม. ในทศวรรษที่ 70,
80, และ 90 การสนับสนุนที่เราได้รับ ส่วนใหญ่มาจากสาธารณชนและสื่อต่างๆ.
การสนับสนุนดังกล่าวได้รับการสะท้อนในรัฐสภาต่างๆอย่างหลากหลายในประเทศ
ประชาธิปไตย เช่นเดียวกันกับในรัฐสภาสหรัฐและรัฐสภายุโรปต่างๆและ
ในท้ายที่สุด ในรัฐบาลประเทศต่างๆด้วย.
ถึงแม้ว่าจะเป็นการทำไปด้วยความฝืนใจ ไม่มีความสมัครใจ
และไม่รู้สึกรู้สาเท่าไรนักก็ตาม
แต่พวกเขาก็เจตนามากขึ้นที่จะแสดงให้เห็นว่า
พวกเขาได้ให้ความเอาใจใส่ต่อเรื่องของธิเบต
และเมื่อเร็วๆนี้
หลายๆประเทศมากได้แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และความเห็นอกเห็นใจของพวกเขา
ออกมา แต่อันที่จริง
พวกเขาต้องการที่จะช่วยเหลือในระดับปฏิบัติการที่เป็นจริงอันหนึ่งเท่านั้น.
ด้วยเหตุดังกล่าว ในช่วงขณะนี้
ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าก็คือกระตุ้นสนับสนุนการเจรจาต่อรองที่มีความหมาย
ต่างๆกับรัฐบาลจีน. ในหมู่พวกเรา
การแต่งตั้งผู้ประสานงานพิเศษคนหนึ่งสำหรับธิเบตเป็นเครื่องบ่งชี้อันหนึ่ง
ว่า พวกเราต้องการกระทำบางสิ่งบางอย่างในเชิงปฏิบัติการและเชิงสร้างสรรค์.
ชาวจีนบางคนก็ได้แสดงออกถึงความเข้าใจอย่างซาบซึ้งเกี่ยวกับวิธีการประนี
ประนอมและไกล่เกลี่ยอันนี้. พวกเขาเชื่อว่า
ธิเบตมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเป็นอิสรภาพ.
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการสนับสนุนอันนี้ที่เกิดขึ้นมาก็เพราะ
เราดำเนินรอยตามหลักอหิงสธรรม. ดังนั้น
ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าวิธีการอหิงสาของข้าพเจ้าซึ่งยาวนานมากว่า 20 ปีหลังนี้
ได้พัฒนาคำประกาศอันหนึ่งซึ่งเป็นพื้นฐานของสันติภาพ.
ท่านได้วางอนาคตเกี่ยวกับประเทศของท่านเอาไว้ไหม บนความเป็นไปได้อันคลุมเครือที่ว่า จีนจะเป็นประชาธิปไตย ?
จีนที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
จะทำให้มันง่ายขึ้นมากที่จะติดต่อด้วยกับประเด็นปัญหาของธิเบต.
แต่นั่นมิได้หมายความว่า
เพียงจีนที่เป็นประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะช่วยในเรื่องปัญหาของธิเบตได้;
ไม่เลย ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
แม้กระทั่งบรรดาผู้ปกครองของจีนในปัจจุบัน
สามารถที่จะช่วยในเรื่องปัญหาของธิเบต.
ข้าพเจ้ารู้สึกว่าถ้ารัฐบาลจีนได้วิเคราะห์อย่างระมัดระวังโดยปราศจากความ
กลัว ความสงสัยคลางแคลงใจ หรือความรู้สึกไม่ปลอดภัย
ก็สามารถที่จะบรรลุถึงความมั่นคงที่แท้จริงและตกลงกันได้กับเราโดยผ่านการ
พูดคุยที่มีความหมาย. ตราบเท่าที่ธิเบตยังได้รับความเป็นห่วงเป็นใย
ความมั่นคงและเอกภาพอันผิวเผินมากๆ
ซึ่งได้มาด้วยการใช้กำลังจะไม่มีความมั่นคงหรือยืนยง.
อันนี้ไม่ใช่ความมั่นคงที่แท้จริง. ในทันทีที่กำลังอำนาจของพวกเขาน้อยลง
ความไม่มั่นคงก็จะมาเยือน.
ความมั่นคงที่แท้และความเป็นเอกภาพจะต้องมาจากหัวใจมิใช่ได้มาจากความกลัว.
ท่ามกลางบรรดาผู้นำสุดยอดของคอมมิวนิสม, มีอยู่ 2 กลุ่ม:
กลุ่มที่หนึ่งมองว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้วิธีการปราบปราม.
ส่วนอีกกลุ่มได้มองถึงความเป็นไปได้อีกอันหนึ่ง.
นี่ไม่ใช่เพียงวันนี้เท่านั้น.
หลายปีที่ผ่านมาเราได้เห็นถึงความคิดเห็นทั้งสองกลุ่มนี้.
จีนพบว่ามันเป็นการเสี่ยงเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเกี่ยวกับธิ
เบต. แต่จากทัศนคติและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับผลประโยชน์ในระยะยาว
ธรรมชาติที่ระเบิดออกมาอันนั้น
มันจะไม่เป็นการดีทั้งต่อจีนเองและต่อธิเบตด้วย.
ชาวจีนที่มีเหตุผลทุกคนต่างตระหนักในเรื่องนี้.
ท่านได้ขานรับอย่างไร
ต่อการเพิ่มจำนวนมากขึ้นของชนชาวธิเบตซึ่งไม่เห็นด้วยกับนโยบายของท่าน
เกี่ยวกับหลักการไม่ใช้ความรุนแรง
และกำลังใคร่ครวญถึงวิธีการที่ก้าวร้าวรุนแรงอย่างจริงจัง ?
แน่นอน
พวกเขามีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องอิสรภาพอย่างเต็มที่ในปัจจุบัน.
เนื่องจากประสบการณ์ของพวกเขา ในช่วงระหว่าง 40
ปีหลังมานี้เกี่ยวกับความทุกข์ทรมานและการทำลายล้าง
ชาวธิเบตเป็นจำนวนมากได้สูญเสียศรัทธาของพวกเขาที่มีต่อชาวจีนไปอย่าง
สมบูรณ์. พวกเขาต้องการแบ่งแยกเด็ดขาดจากจีน.
ข้าพเจ้าเข้าใจในเหตุผลต่างๆของพวกเขา
แต่ข้าพเจ้ามีความเชื่อมมั่นอย่างเต็มที่ว่า
โลกทั้งมวลคือครอบครัวมนุษย์ครอบครัวเดียวกัน.
ธิเบตในเชิงประวัติศาสตร์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดมากกับอินเดียและกับ
จีน. ธิเบตเป็นประเทศที่เรียกว่า landlocked country
(ประเทศซึ่งไม่มีทางออกทะเล ถูกล้อมรอบด้วยแผ่นดิน) และล้าหลังในเชิงวัตถุ;
พวกเราต้องการความพยายามอย่างมากสำหรับการพัฒนาทางด้านวัตถุ.
ทรัพยากรต่างๆทางธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ แต่เราต้องการความเชี่ยวชาญมาก.
พวกเราต้องการพัฒนาเรื่องการสื่อสาร. ในท้ายที่สุด,
ขอบเขตพรมแดนประเทศไม่ใช่สิ่งสำคัญ.
สิ่งซึ่งเป็นสาระคือเรื่องของสิทธิประชาธิปไตยและเสรีภาพ
ที่จะปฏิบัติตามวัฒนธรรมและศาสนาของพวกเรา.
ลึกเข้าไปในจิตใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่า
เขตแดนต่างๆไม่ใช่พื้นฐานเบื้องต้นที่สำคัญอะไรเลย.
แต่ผู้คนทั้งหลายต่างพิจารณาว่า เขตแดนต่างๆเป็นเรื่องที่สำคัญมาก;
แม้แต่เพียงไม่กี่นิ้วของดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาก็สำคัญ.
ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันไม่ใช่สาระ.
พวกเราควรจะทำอะไรๆต่อกันอย่างมากมายที่ข้ามพ้นไปจากเขตแดนต่างๆอันนั้น.
สันติภาพเป็นเรื่องซึ่งสำคัญกว่า. ผู้คนควรที่จะมีชีวิตที่มีความสุข
มีชุมชนที่สันติสุข. ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าชาวธิเบตและชาวจีน
อันที่จริงแล้ว สามารถที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้.
การอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาวธิเบตและพุทธศาสนาของธิเบตเป็นสิ่งซึ่งสำคัญ
อย่างยิ่ง สำหรับชีวิตมนุษย์ที่มีความหมาย
ความถูกต้องของท่าทีหรือทัศนคติทางใจต่อตัวของตัวเอง
ต่อเพื่อนบ้านของเราและต่อสภาพแวดล้อมเป็นสิ่งซึ่งสำคัญมาก.
ในวัฒนธรรมพุทธศาสนาของชาวธิเบต
ข้าพเจ้าเห็นถึงศักยภาพที่จะทำให้เกิดความถูกต้องชอบธรรมเกี่ยวกับท่าทีหรือ
ทัศนคติซึ่งมีต่อตัวของตัวเองและคนอื่นๆ
เราปรารถนาให้ชาวจีนยินยอมให้เราได้ถือปฏิบัติในวิถีชีวิตแห่งพุทธธรรมของ
เราอย่างอิสระ.
ถ้าหากว่าการปฏิวัติของจีนได้พัฒนาสังคมอย่างมีความหมายอย่างแท้จริง
เป็นสังคมที่มีความสุข, ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น แน่นอน
ก็จะไม่มีความต้องการสำหรับทางเลือกอื่นๆ. แต่ข้าพเจ้าคิดว่า
จีนขาดศรัทธาอันนั้นไปแล้ว มันแตกสลายไปแล้ว ทุกวันนี้
มันเกือบจะมีพุทธศาสนานิกายใหม่ๆเกือบร้อยล้านนิกายในประเทศจีน
และจำนวนของชาวคริสเตียนในท่ามกลางหมู่ชาวจีนก็เพิ่มขึ้นด้วย.
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? ก็เพราะว่า มันยังคงมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไปอยู่.
สิ่งที่มาก่อนและอยู่บนสุดของข้าพเจ้าก็คือ
การอนุรักษ์วัฒนธรรมพุทธศาสนาแบบธิเบตเอาไว้,
ไม่จำเป็นเพียงแค่พุทธศาสนาในตัวมันเองเท่านั้น
แต่หมายรวมถึงวัฒนธรรมพุทธศาสนาเอาไว้ด้วย.
และการเก็บรักษาวัฒนธรรมพุทธศาสนาเอาไว้สามารถบรรลุผลสำเร็จเช่นนั้นได้โดย
ไม่ต้องมีความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากจีน,
โดยไม่จำต้องแบ่งแยกอย่างเด็ดขาด.
ถ้าหากว่าพวกเรายังคงต้องร่วมกับอีกประเทศหนึ่งซึ่งเป็นประเทศใหญ่,
อย่างประเทศจีน เราอาจได้รับประโยชน์บางอย่างต่อพัฒนาการทางด้านวัตถุ
และจะได้รับการเอาใจใส่
ในช่วงขณะที่มีการทำลายเกี่ยวกับวัฒนธรรมพุทธศาสนาในธิเบต
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า มีเหตุการณ์ต่างเกิดขึ้นมากมาย
ดังนั้นในประเด็นดังกล่าว เวลากำลังถูกทอดทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์:
พวกเราไม่สามารถทนรออยู่ได้. อันตรายอันนี้มันช่างน่าตกใจจริงๆ.
ข้าพเจ้าเข้าใจอย่างเต็มที่ถึงความรู้สึกเกี่ยวกับภาวะที่ล่อแหลมของคน
เหล่านั้น ซึ่งให้การสนับสนุนการต่อสู้ด้วยอาวุธในธิเบต.
ขอให้เรามาคิดถึงเรื่องของความรุนแรงกันดู. ก่อนอื่นใดทั้งหมด
เรามีปืนเพียงไม่กี่กระบอก, มีระเบิดอยู่เพียงไม่กี่ลูก. ดังนั้น
พวกเราจึงต้องการอาวุธต่างๆเป็นจำนวนมากมาย.
และจากที่ใดล่ะซึ่งพวกเราจะได้อาวุธและยุทธภัณฑ์เหล่านั้นมา ?
ใช่…เรามีเงินอยู่บ้าง และเราสามารถซื้อหาอาวุธมาได้จากตลาดนานาชาติ.
แต่เมื่อเราได้อาวุธเหล่านั้นมาแล้ว เราจะส่งมันไปยังประเทศธิเบตอย่างไร ?
โดยผ่านอินเดียก็เป็นไปไม่ได้. โดยผ่านเนปาล, ก็เป็นไปไม่ได้อีก.
การติดต่อกับอัฟกานิสถานก็มีภูมิประเทศซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหิน
แล้วก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนมากกว่าจะไปถึงธิเบต.
และถ้าหากว่า อาวุธเป็นจำนวนมากมายมหาศาลไปถึงธิเบต,
ประชาชนธิเบตเพียงไม่กี่หมื่นคนเริ่มจะเริ่มระดมโจมตี.
คนจีนก็จะไม่นิ่งเฉยเหมือนกับเป็ด;
พวกเขาก็จะใช้วิธีการอันรุนแรงตอบโต้เราด้วย. ดังนั้น หากว่าเรามีทหารธิเบต
1 แสนคน, ข้าพเจ้าคิดว่า อย่างน้อยที่สุด ทหาร 2-3 หมื่นคน หรืออาจจะ 4
หมื่นคนต้องถูกฆ่าตาย. สำหรับเราแล้ว หากชาวธิเบต 4
หมื่นคนต้องบาดเจ็บล้มตาย นั่นจะเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มาก.
แต่สำหรับชาวจีนแล้ว คนจำนวนหนึ่ง 1 แสนคนถือว่าน้อยมาก. ถ้าหากว่าคนจีน 1
แสนคนได้ถูกกำจัดทิ้งไปวันนี้ สัปดาห์หน้าคน 2
แสนคนก็จะมาแทนที่พวกที่ถูกขจัดไปอย่างไม่ยากเย็นอะไร.
แต่ถ้าเป็นคนของธิเบต 1 แสนคนถูกฆ่า มันจะไม่มีการทดแทนขึ้นมาแต่อย่างใด
มันคือการฆ่าตัวตาย. ด้วยเหตุนี้
สิ่งซึ่งยกตัวอย่างขึ้นมาเป็นคำตอบของข้าพเจ้าต่อชนชาวธิเบตเหล่านั้น
ผู้ซึ่งชอบใช้ความรุนแรง. การตัดสินจากพัฒนาการเมื่อไม่นานมานี้,
ดูเหมือนว่าอำนาจท้องถิ่นของจีนได้เชื้อเชิญความไม่สงบและความรุนแรงเข้ามา
ในธิเบต. พวกเขาสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดายและอย่างมีประสิทธิภาพ.
ตัวอย่างที่ชัดเจนอันหนึ่ง. นั่นคือ ในรุ่งอรุณของวันที่ 17 มีนาคม
ค.ศ.1959 มีการยิงปืนใหญ่เข้ามาในกรุง Lhasa.
ทุกๆคนเห็นว่ามันมาจากฝั่งของประเทศจีน.
แต่แถลงการณ์ในกรุงปักกิ่งของจีนกลับประกาศว่า
ชาวธิเบตได้เริ่มเปิดการยิงปืนใหญ่เข้ามาตกในกองทหารรักษาการของจีน
ต่อจากนั้น รัฐบาลจีนจึงให้มีการตอบโต้อย่างเต็มที่. ในช่วงทศวรรษที่ 80
ทหารจีนคนหนึ่งผู้ซึ่งมีส่วนร่วมอยู่ในเหตุการณ์ปี ค.ศ.1959
ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือเล่มเล็กๆเล่มหนึ่งว่า
ทหารจีนได้เปิดฉากการยิงเข้าไปยังธิเบตก่อน.
ทั้งๆที่ความโหดร้ายเหล่านี้ต่อชนชาวธิเบตทำให้ชาวธิเบตต้องเจ็บปวดทุกข์
ทรมาน, ท่านยังขอร้องให้พวกเขาจะต้องไม่รู้สึกโกรธ,
เพียงแผ่เมตตาไปยังผู้กดขี่ทั้งหลายที่กระทำกับพวกเขา. ท่านไม่คิดหรือว่า
มาตรฐานของท่านมันเป็นมาตรฐานที่สูงเกินไป ?
นี่ล่ะคือประเด็นสำคัญ
พวกเราไม่ควรที่จะสูญเสียความเมตตาของเราไปไม่ว่าสถานการณ์ต่างๆจะเป็นเช่น
ไร. อันนี้ไม่ใช่แค่คำแนะนำของข้าพเจ้าเท่านั้น. พระภิกษุชาวธิเบตรูปหนึ่ง,
ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารู้จักเป็นอย่างดี, ที่วัด Namgyal ใน Potala ที่กรุง
Lhasa ได้อรรถาธิบายถึงภารกิจอันสำคัญอันนี้. เขาได้ใช้เวลายาวนานถึง 17 ปี
ในค่ายกักกันแรงงานของจีน และในช่วงระหว่างวันเวลาเหล่านั้น
ในโอกาสซึ่งมีอยู่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้นที่เขาต้องเผชิญหน้ากับภัย
อันตรายครั้งหนึ่ง.
ข้าพเจ้าถามท่านว่าเป็นอันตรายร้ายแรงประเภทไหนกันล่ะที่ท่านต้องเผชิญ;
ข้าพเจ้าคิดว่ามันจะต้องเป็นอันตรายต่อชีวิตของท่าน. แต่ท่านกลับตอบว่า
อันตรายของการสูญเสียความเมตจตาต่อชาวจีน.
ข้าพเจ้าไม่สามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้, ข้าพเจ้าคิด,
แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากนั้น จริงๆแล้ว
ท่านกลับปฏิบัติการด้วยการเจริญเมตตาได้.
การไม่ใช้ความรุนแรงเป็นธรรมชาติอันดับที่สองต่อวัฒนธรรมพุทธศาสนาของ
ท่าน. ในคุณค่าทางศาสนาตามขนบประเพณีตะวันตก สิ่งเหล่านี้กำลังสาบสูญไป.
เราจะสามารถเป็นตัวแทนการไม่ใช้ความรุนแรงได้อย่างไร
เมื่อคุณค่าทางจิตวิญญานได้กลายเป็นคนแปลกหน้ามากๆสำหรับพวกเราไปแล้ว ?
ในด้านหนึ่ง, ใช่ คุณค่าทางศาสนาตามขนบประเพณีได้ถูกทำให้อ่อนแอลง.
แต่มันมีคุณค่าใหม่ๆที่ถือกำเนิดขึ้นมา; คุณค่าต่างๆทางนิเวศวิทยา
เป็นตัวอย่าง, ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือลักษณะเฉพาะต่างๆทางศาสนา
มันมิได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานเกี่ยวกับศรัทธาในศาสนา,
แต่มันมีฐานอยู่บนความสำคัญที่เป็นจริงเกี่ยวกับความห่วงใยในการไม่ใช้ความ
รุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม.
ข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือพัฒนาการที่เต็มไปด้วยสุขภาพอนามัยที่ดี.
ในหนทางหนึ่ง อิทธิพลทางศาสนาในปัจจุบันได้ลดทอนลงมา แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า
มนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาว; เนื่องมาจากความเปิดกว้างของพวกเขา
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเคลื่อนเข้าไปใกล้กับความจริงอันนั้น.
ข้าพเจ้าได้พูดกับคนฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่ง
และได้ไต่ถามพวกเขาเกี่ยวกับประเทศเยอรมันนี. ข้าพเจ้าคิดว่า เมื่อ 40
ปีล่วงมาแล้ว ในสายตาของคนฝรั่งเศส
ประเทศเยอรมันนีเป็นบางสิ่งที่เลวร้ายมาก,
แต่ปัจจุบันคนสองคนของสองประเทศนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน. ในทำนองเดียวกัน
นักฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมันคนหนึ่งบอกกับข้าพเจ้าว่า 40-50 ปีมาแล้ว
เมื่อเขาได้พบกับคนฝรั่งเศส
เขาพบว่ามันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากและไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่จะปฏิบัติ
ตัวอย่างไร. แต่ทุกวันนี้ สิ่งเหล่านั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
นี่คือเครื่องหมายต่างๆของความเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น. มาถึงตอนนี้
ชาวเยอรมันและชาวฝรั่งเศสได้ปฏิบัติต่อกันเหมือนดั่งกับการเป็นพี่เป็นน้อง
กัน.
ในการรำลึกถึงความทรงจำของท่านเมื่อวัยเยาว์ ท่านได้อธิบายว่า
ท่านเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความโกรธมากมายอย่างไร, แต่หลายปีต่อมา
ท่านกล่าวว่า ท่านได้จัดการเพื่อขจัดความโกรธออกไปได้จนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว.
แน่นอน จิตใจของมนุษย์และอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์สามารถเปลี่ยนแปลงได้
หากว่าคุณใช้ความพยายาม.
ด้วยการกำหนดตัดสินใจและความอดทนคุณสามารถที่จะแปรเปลี่ยนความโกรธและลดทอน
การยึดติดลงไปได้. ความเชื่อมั่นในตัวเองและความเมตตาสามารถเพิ่มขึ้นมาได้.
แต่มันต้องใช้เวลาและมันไม่ง่ายนัก
ข้าพเจ้าไม่ได้พูดว่าความเมตตาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพราะคัมภีร์ทางศาสนาของเรากล่าวเอาไว้อย่างนั้น.
ความเมตตาในระดับปฏิบัติการที่เป็นจริงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์และให้ผลดี
อย่างยิ่ง.
มันใช่เวลาหรือ ที่ความเมตตาของท่านจะส่งไปถึงชาวจีนที่เพิ่มความทุกข์ทรมานมากขึ้นให้กับพวกท่าน ?
เมื่อข้าพเจ้าเจริญเมตตาที่มีต่อพี่น้องชาวจีนของเรา
มันไม่ใช่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความโหดร้ายต่างๆ
แต่มันอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรมของพวกเขา
เมื่อคุณตั้งจิตให้มีสมาธิกับความเมตตาจากมุมดังกล่าว
คุณจะเห็นว่าพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
พวกเขาไม่ต้องการความเจ็บปวดทุกข์ทรมานใดๆเช่นกันเหมือนกับพวกเรา;
พวกเขามีสิทธิอันชอบธรรมทุกประการที่จะพิชิตและเอาชนะความทุกข์ยาก. ดังนั้น
คุณจึงเห็นว่าพวกเราต่อต้านการกระทำของพวกเขา
โดยปราศจากการต้องสูญเสียความเมตตาที่มีต่อบุคคลไป.
ท่านเคยตรัสว่า ทะไลลามะองค์ต่อไปจะทรงประสูติขึ้นมานอกอาณาเขตของธิเบต
ไม่ว่าสถาบันของทะไลลามะ จะดำเนินต่อไปหรือไม่ก็ตาม,
นั่นเป็นเรื่องของผู้คนชาวธิเบตจะต้องตัดสิน. ถ้าหากว่าอีก 2-3
สัปดาห์ต่อไปข้าพเจ้าต้องมรณภาพลง เป็นไปได้มากที่สุดว่า
ชนชาวธิเบตทั้งหลายต้องการที่จะมีองค์อวตารอีกองค์หนึ่ง.
แต่ถ้าหากว่าข้าพเจ้ายังคงกล่าวอะไรต่อไปได้อีก 30-40 ปี ถ้าเป็นเช่นนั้น
บางที
สถานการณ์ดังกล่าวอาจกลายเป็นว่าสถาบันขององค์ทะไลลามะอาจจะไม่สอดคล้องเป็น
ที่ต้องการอีกต่อไปแล้ว; นั่นคือสิ่งที่เป็นไปได้มาก.
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สถาบันทะไลลามะควรจะดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่
นั่นไม่ใช่ความห่วงใยของข้าพเจ้า. ความเป็นห่วงเป็นใยของข้าพเจ้าคือ
ประชาชาติธิเบตและวัฒนธรรมธิเบตจะต้องคงอยู่. แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ข้าพเจ้าจะตัดสินอนาคตอันนั้นให้เร็วที่สุดเมื่อข้าพเจ้าได้หวนคืนกลับสู่ธิ
เบตด้วยระดับของการเป็นอิสระในการปกครองตนเองในบางระดับ.
ข้าพเจ้าจะส่งมอบอำนาจหน้าที่ของข้าพเจ้าทั้งหมดให้กับรัฐบาลธิเบต.
รัฐบาลชุดนั้นควรจะเป็นรัฐบาลที่ได้มาจากการเลือกตั้ง.
ผู้คนส่วนใหญ่ของชาวธิเบตรู้สึกว่าสถาบันขององค์ทะไลลามะควรจะต้องคงอยู่
ต่อไป และการสืบทอดนั้นควรดำเนินไปตามขนบประเพณีด้วย ด้วยเหตุนี้
คำถามเกี่ยวกับทะไลลามะองค์ต่อไปจึงเกิดขึ้นมา.
สมมุติว่าพวกเรายังคงอยู่นอกอาณาเขตของธิเบต
และชนชาวธิเบตยังต้องการรักษาสถาบันของทะไลลามะเอาไว้อย่างแท้จริง
ถ้าเผื่อว่าข้าพเจ้ามรณภาพลง ภายใต้สถานการณ์อันนั้น
การกลับชาติมาเกิดของข้าพเจ้าก็จะปรากฎขึ้นอีกครั้ง.
การกลับชาติมาเกิดอีกครั้งของข้าพเจ้าหรือการอวตารใหม่ขององค์ทะไลลามะจะ
ปรากฎขึ้นนอกประเทศธิเบต เพื่อที่จะดำรงภารกิจแห่งชีวิตก่อนหน้านี้ต่อไป
ซึ่งมันยังไม่บรรลุผลสำเร็จ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น